2553/07/10

ชาและการชงชา



ชาและการชงชา

ในประเทศจีนมีเครื่องดื่มที่แพรหลายอยู่ชนิดหนึ่ง นั่นก็คือชา “เมื่อเปิดบ้านทุกบ้านจะต้องเจอสิ่งของ 7 สิ่ง ฟืน ไม้ น้ำมัน เกลือ เครื่องปรุงรส น้ำส้มสายชู ชา” เป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของชาวจีน ทุกวันดื่มชา ว่างก็ดื่มชา แขกมาก็ยกชา ไปเยี่ยมเพื่อบ้านก็เอาชาไปฝาก นี่ก็เป็นประเพณีและความเคยชินของชาวจีนมากว่าพันปี การชงชาก็เป็นศิลปะอันเก่าแก่แขนงหนึ่ง

ประเทศจีน ---- บ้านเกิดของใบชา
ประเทศจีนเป็นต้นกำเนิดของชา ในโลกใบนี้ประเทศจีนก็ค้นพบและนำชาไปใช้ก่อนประเทศอื่น
ในยุคโบราณต้นชาเกิดจากการรวบรวมของผู้คนที่ผ่านมาเก็บผลไม้ป่า ผักป่า การค้นพบโดยบังเอิญจากการเก็บผลไม้ป่า ผักป่า ชาในต้นแรกก็เป็นยาชนิดหนึ่ง เรียกว่า “” ประเทศจีนมีเทพนิยายที่บอกเล่ากันมา ชื่อว่า “เสินหนงเทพแห่งกสิกรรม ในวันหนึ่งๆจะชิมสมุนไพรเป็นร้อยชนิด ก็โดนพิษไปกว่า 72 ชนิด แต่โดนพืชชนิดหนึ่งมาช่วยถอนพิษคือใบชา” เสินหนงเป็นวีรบุรุษในยุดนั้น เขาเป็นคนกล้าที่จะลองกินพืชชนิดต่างๆ เพื่อยืนยันว่าพืชชนิดไหนกินได้หรือกินไม่ได้ จนไปถึงใบชา การใช้ใบชารักษาโรค เมื่อนานเข้าก็พบว่าใบชาไม่เพียงแต่รักษาโรคได้ ยังสามารถดับกระหายได้และยังมีกลิ่นหอม ทำให้ชาเป็นเครื่องดื่มทั่วไปที่มีคนนิยม จากยาก็ข้ามมาเป็นเครื่องดื่มมีอายุกว่า 2000 ปีมาแล้วในสมัยราชวงศ์ซีและฮั่น (西汉时期)
การดื่มชาพบครั้งแรกในเขตตะวันตกเฉียงใต้ คนทั่วไปใช้ชาป่า หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการเพาะปลูกต้นชาขึ้น ต้นชาก็จะขึ้นได้ดีในอากาศชื่นอบอุ่น ชาที่มีชื่อเสียงก็มาจากภาคใต้ของจีน ทางใต้ การดื่มชาก็จะมีวัฒนธรรมที่พิถีพิถัน คนภาคเหนือไม่ผลิตชา ชาที่ชาวเหนือดื่มมาจากภาคใต้ ปัจจุบันมีกว่า 18 มณฑลที่ปลูกชา ทั้ง 18 มณฑลนี้ก็เป็นแหล่งปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ในศตวรรษที่ 7 ใบชาของประเทศจีนก็ได้แพรหลายไปญี่ปุ่น เกาหลีเหนือในศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาชาก็ได้แพร่หลายไปในแถบยุโรป อเมริกาและแอฟริกา ในปัจจุบันอีก 40 กว่าประเทศทั่วโลกชาก็เหมือนกับกาแฟและโกโก้ ก็เป็น 3 อันดับเครื่องดื่มยอดนิยม
คนจีนใช้เวลาในการศึกษา ลงแรง สะสมกรรมาวิธีในการปลูกชา การดื่มชาเยอะมากมาย ซึ่งมีหนังสือที่เขียนถึงชามีมากกว่า 100 ชนิด ก็มีหนังสือของ ลู่หยู่(陆羽) ชื่อว่าคัมภีร์ชา หรือ ฉาจิง (茶经) ก็เป็นหนังสือที่รวบรวมเกี่ยวกับชาไว้มากมาย เป็นหนังสือเล่มแรกที่พูดถึงเรื่องของชาได้กระจ่างที่สุด ผู้คนจึงยกย่องเขาให้เป็น “เซียนใบชา”
ใบชาแต่ละประเภท
ใบชาของประเทศจีนก็มีมากมายหลายประเภท ก็มีชาแดง ชาเขียว ชาอู่หลง ชาดอกไม้ และ ชาอัดแท่ง(紧压茶) ซึ่งชาแต่ละประเภทก็มีกรรมวิธีการทำที่แตกต่างกัน ชาแดง จะผ่านกรรมวิธีคือ การเอาไปหมัก น้ำชาที่ได้จะเป็นสีแดงเข้ม จะสามารถชงได้หลายครั้ง ชาที่มีชื่อคือชา ชาฉีหง จากอานฮุย เป็นต้น
ชาเขียวเป็นชาที่ไม่ผ่านการหมักเลย เอาใบชาที่เก็บมาไปคั่วในกระทะร้อนจนแห้ง น้ำของชาที่ได้จะมีสีเขียว ชาที่มีชื่อเสียงก็เช่น ชาหลงจิ่ง จากซีหู หังโจว ชาปี้หลัวชุน จากไท่หู เจียงซูและ ชาเหมาเฟิง จากหวงซาน เป็นต้น
ชาอูหลง เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักให้อยู่กึ่งกลางระหว่างชาเขียวและชาดำ ชาอูหลงค่อนข้างแพง เก็บไว้ได้นาน ดังนั้น ยิ่งนานยิ่งเก่าก็ยิ่งดี และชาชนิดนี้ก็ไม่เหมือนใบชาประเภทอื่น ชาที่มีชื่อเสียงอยู่ที่ ชาเถี่ยกวนอิน หรือ กวนอิมเหล็ก จากฝูเจี้ยน เป็นต้น
ชาดอกไม้จะใช้ชาแดง ชาเขียวและชาอูหลง แต่จะผสมดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเข้าไปด้วย ชาที่มีชื่อเสียงก็คือชามะลิจากฟูเจี้ยน
ชาอัดแท่ง (จิ่นยาฉา) เป็นการบีบอัดชาให้เป็นรูปร่างต่างๆเป็นสี่เหลี่ยมแท่งอิฐ วงกลมและเป็นจาน ชาที่ดีก็มีชาผู่เอ๋อ ของหยุนหนาน และชาโถว่ ของซื่อชวน เป็นต้น
ประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ ประชากรมากพื้นที่ต่างถิ่นก็แตกต่างกัน การดื่มชาจริงไม่เหมือนกัน
ในอดีต ผู้คนชอบจะต้มชาโดยใส่ ต้นหอม ขิง เกลือ ส้ม เพิ่มลงไป เมื่อมาถึงราชวงศ์เหยียน ก็ไม่ได้เป็นการดื่มชาเพียวๆอีกต่อไป การดื่มชา ต้องได้รับกลิ่นที่แท้จริงจากใบชา การชงชาก็ต้องใช้เวลาในการชง ประมาณ 10 นาที เพื่อให้เข้าถึงรสชาติของชา ทุกวันนี้พวกเราก็ยังคงชงชาเช่นนี้อยู่
สามารถกล่าวได้ว่า คนเหนือชอบดื่มชาดอกไม้ เจียงซู เจ้อเจียงชอบดื่มชาเขียว ฟูเจี้ยนกับกวางตุ้งชอบดื่มชาอูหลง ชนกลุ่มน้อยก็จะใส่ยมลงไป ใส่เกลือก็เรียกชานม ชาวธิเบตก็จะชาอบกินชาใส่นมเนยและเกลือ เรียกชานมเนย
การดื่มชาของจีน น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าน้ำที่ใช้ชงดี ชาก็จะมีรสชาติที่ออกมาดี เช่น ถ้าจะดื่มชาซีหูหลงจิ่นฉา ต้องใช้น้ำจากบ่อน้ำแร่ จาก虎跑泉 (หนองเสือวิ่ง) ไปชงก็จะได้รสชาติของชาอย่างแท้จริง น้ำชนิดอื่นไม่ได้ ชาวจีนกล่าวไว้ว่า ใช้น้ำกับชา น้ำที่ดีที่สุดคือน้ำแร่ นอกนั้นใช้น้ำจากแม่น้ำได้ และนอกเหนือจากนั้นคือน้ำบ่อ ถ้าใช้น้ำประปาจะทำให้รสชาติของชาออกมาแน่กว่าน้ำชนิดอื่นๆที่กล่าวมา
การใช้อุปกรณ์ชงชาต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ต้องใช้ขนาดเล็กที่สุด ต้องทำจากเครื่องปั้นดินเผา รองลงมาเป็นแก้วที่ทำจากกระจกแต่ไม่นิยมแก้วโลหะ
ในประเทศจีน การดื่มชาถือเป็นศิลปะแขยงหนึ่ง ถ้าดื่มแก้วโตๆใบใหญ่ๆ ดื่มเพื่อความกระหาย ไม่ถือเป็นการดื่มชาเพื่อให้เข้าถึงรสชาติของมัน วิธีการดื่มชา เรียกว่า(การจิบชา) 品茶 จิบชาทำอย่างไร ก็สามารถทำได้โดยดังนี้ เมื่อได้ถ้วยชาก็ให้ดมกลิ่นของน้ำชานั้น เรียกว่า (ดมกลิ่นชา) 闻香 หลังจากนั้นจึงพิจารณาดูสีของชา เรียกว่า (พิจารณาสี) 观色 หลังจากนั้นจึงจิบชาเพื่อให้ได้รับรู้ถึงรสชาติของชานั้น จิบอย่างช้าๆ เรียกว่า (การลิ้มรส) 赏味

ประเพณีการดื่มชา
ในสมัยโบราณการดื่มชาค่อยข้างจะอยู่ในชนชั้นที่มีระดับ จะเป็นกิจกรรมของพวกชนชั้นสูงและค่อนข้างมีฐานะ พวกบัณฑิต นักปราชญ์ เวลาจะเขียนกลอน พรรณนาต่างๆหรือวาดภาพก็จะมีชาเป็นส่วนประกอบ เพราะว่า ชาจะเป็นตัวช่วยให้พวกเค้าเกิดมโนภาพและสร้างบรรยากาศ จากกลิ่นหอมของใบชาจะทำให้พวกเขาเหล่านี้เข้าถึงสิ่งที่พวกเขาจะสรรค์สร้างออกมาได้ นักปราชญ์เหล่านี้ก็จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชามากมาย มีการประเมินว่า ที่ผ่านมาบทกวีเขียนเกี่ยวกับชามีมากกว่า 1000 บท
ในราชวงศ์ถัง ผู้คนชอบเล่น การดวนชา (斗茶) พวกเขาจะรวมตัวกันดื่มชาและมาเปรียบเทียนกันว่าชาของใครนั้นดีกว่ากัน ผู้นั้นก็จะชนะ ถ้าหากว่าชาไม่ดีสู้คนอื่นไม่ได้ ก็จะรู้สึกขายหน้า สมัยราชวงศ์ซ่ง ในวังก็มีกิจกรรมแบบนี้บ่อยมาก พูดได้ว่า ฮวงตี้ชอบดวนชามาก และในปัจจุบันที่กวางตุ้งและฟูเจี้ยนก็ได้มีอีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า “กังฟูฉา” ได้กลายมาจากการดวนชา
ในสมัยโบราณ ผู้ชายและผู้หญิงจะแต่งงานก็ต้องมีการดื่มชา มาเป็นสินสอดหรือการหมั่น และจะมีการรับน้ำชาจากฝ่ายชาย เรียกว่า “การรับชา” นิยายคลาสสิก เรื่อง ความรักในหอแดง ก็มีคำพูดที่หวังซีเฟิงพูดกับหลินไต้หยู่ว่า ในเมื่อคุณดื่มชาที่บ้านฉันแล้ว ทำไมคุณยังไม่เป็นสะใภ้ของฉันละ การรักชาก็มีมานานแล้วในปัจจุบันการมอบชาให้เป็นของขวัญก็ถือเป็นการแสดงความเคารพ ความมีน้ำใจแก่ฝ่ายตรงข้าม ปัจจุบันแขกมาบ้าน เจ้าบ้านก็จะยกชาให้ดื่ม
ปัจจุบัน ชาวกวางโจวและหยางโจวก็จะดื่มชาในตอนเช้า หลังจากพวกเขาตื่นนอนก็จะมาดื่นชากันที่ร้านน้ำชา จากนั้นก็กินข้าวกันอย่างสบายๆ ส่วนเซี่ยงไฮ้ก็จะดื่มชาในตอนเย็น ตอนค่ำหลังอาหารค่ำ จะนั่งดื่มชากัน คุยกัน ในประเทศจีน เสฉวนจะมีร้านน้ำชาเยอะมาก เปิดทั้งเช้าทั้งเย็น ร้านน้ำชาก็จะมีผู้คนมานั่งมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น